วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

แพคเกจพิเศษ..สำหรับคุณคนพิเศษ ณ. โรงแรม ดิเอมเมอรัลโคฟ เกาะช้าง

ตั้งอยู่บนหาดคลองพร้าว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม และเงียบสงบ ของเกาะช้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในเกาะที่ซ่อนเร้นหลีกหนีความวุ่นวาย เป็นจุดที่โรแมนติกที่สุดของเมืองไทย ที่ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ โคฟ เกาะช้าง (The Emerald Cove Koh Chang) รีสอร์ทบนเกาะช้างระดับห้าดาว ซึ่งตั้งอยู่บนหาดคลองพร้าวซึ่งเป็นหาดอันเงียบสงบ และตัดขาดจากโลกภายนอกมีห้องพัก และห้องสูท 165 ห้อง แบ่งเป็น 2 โซน คือวิวทะเล 76 ห้องทุกห้องสามารถชมวิวทะเลและทุกห้องสามารถชมวิวทะเลทางทิศตะวันตก ได้แก่ Deluxe Ocean Facing, Deluxe Ocean Facing Premium Wing, Grand Deluxe Ocean Facing Premium Wing, 1 bedroom Suite Ocean Facing และวิวภูเขา 89 ห้อง โซนนี้สามารถชมวิวภูเขาที่ปกคลุมได้ด้วยป่าไม้เขียวขจีทางทิศะวันออก ได้แก่ Deluxe, Deluxe Premium Wing, Grand Deluxe Ocean Facing, 1 bedroom suite ภายในห้องแตกแต่งในสไตล์ไทยโมเดิร์นสบายตา พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ขนาดของห้องพักเริ่มต้นที่ 50 ตรม. เพื่อให้คุณได้รู้สึกผ่อนจริงๆ 

เริ่มต้นเช้าวันใหม่ของคุณ ด้วยการว่ายน้ำอันสดชื่นในสระว่ายน้ำขนาด 50 เมตร ริมทะเล ก่อนทานอาหารเช้า แล้วไป นวดบำบัด ณ เอมเมอรัลด์ สปา, ล่องเรือคายัคในหมู่เกาะสีเขียว, ปีนหน้าผาที่ทอดยาวตามชายฝั่งอันสวยงามของเกาะช้าง, ปรุงอาหารอิตาเลียนสูตรต้นตำรับ ปิดท้ายด้วยมื้อค่ำโรแมนติกริมทะเล ที่ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ โคฟ เกาะช้าง คุณก็จะพบประสบการณ์ท่องเที่ยวดีที่สุด

กิจกรรมทางน้ำที่ทางโรงแรมได้เตรียมให้ท่านได้เลือกทำกิจกรรมเช่น

● ล่องเรือคายัคในหมู่เกาะสีเขียวกับน้ำทะเลใสๆ

● กิจกรรมปีนหน้าผาที่ทอดยาวตามชายฝั่งอันสวยงามของเกาะช้าง

● กิจกรรมดำน้ำ 

เหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมทั้งวัน ห้องอาหารของเราพร้อมเสนอเมนูพิเศษมากมายทั้งไทย และอินเตอร์ฯพร้อมเมนูพิซซ่าและเมนูหลากหลายให้คุณได้เลือกอิ่มแบบไม่อั้น


เตรียมตัวปลดล็อคกันดีกว่า กับ..

Green Season Package

สำหรับท่านที่เข้าพัก ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ตุลาคมนี้ เท่านั้น

แพคเกจนี้รวม :

- ได้ส่วนลดห้องพัก 70% 

- บริการฟรี Wi-Fi ในห้องพักและบริเวณภายในโรงแรม

- กิจกรรมพายเรือคายัค ฟรี 60 นาที 

- รับส่วนลด 10% ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม

- รับส่วนลดสปา ทรีตเม้นท์ 10%

- การันตีเช็คเอาท์ได้ถึง บ่าย 3 โมง


วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

กรมชลประทาน เดินหน้าขับเคลื่อนงานเร่งปรับปรุงแหล่งน้ำและระบบชลประทาน ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล

 

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทาน ได้วางแผนงานตามนโยบายของรัฐบาลตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล ตามบัญชีท้าย พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563โดยการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ บริหารจัดการน้ำ และเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ในพื้นที่ 44 จังหวัด เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งน้ำท่วมและภัยแล้ง รวมไปถึงเพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต


 โดยได้ดำเนินงานพัฒนา ปรับปรุง ซ่อมแซมแหล่งน้ำและระบบชลประทาน ได้แก่ แก้มลิง ขุดลอกอ่างเก็บน้ำ ขุดลอกคลอง อาคารบังคับน้ำ สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า และปรับปรุง ซ่อมแซมงานชลประทาน รวม 354 รายการ งานระบบกระจายน้ำสู่แปลงเกษตรกรรม ได้แก่ จัดระบบน้ำ ปรับปรุงงานจัดระบบน้ำ ปรับปรุงงานจัดรูปที่ดิน รวม 30 รายการ ซึ่งจะเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านน้ำ ช่วยให้ประชาชนมีน้ำอุปโภคบริโภคและสนับสนุนด้านการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในช่วงฤดูแล้งและฤดูฝน โดยในปีงบประมาณ 2564 นี้ กรมชลประทานกำหนดเป้าหมายของโครงการดังกล่าวไว้ อาทิ เพิ่มการจ้างงาน 9,716 คน ปริมาณน้ำเก็บกักเพิ่มขึ้น 26.98 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้น 19,667 ไร่ พื้นที่รับประโยชน์เพิ่มขึ้น 209,653 ไร่ และประชากรผู้รับประโยชน์ 64,952 ครัวเรือน 


ทั้งนี้การพัฒนาแหล่งน้ำและระบบชลประทาน ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ที่จะสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ รวมทั้งยังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่เดินทางกลับภูลำเนาและหันมาทำการเกษตรมากขึ้น ซึ่งกรมชลประทาน มีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าปรับปรุง และพัฒนางานชลประทานอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ จะขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย




“รมช.มนัญญา” ลุยกาฬสินธุ์ เฝ้าระวังเข้มโรคลัมปี สกินในโค กระบือ

  นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์โรคลัมปี สกิน (Lumpy skin disease) ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ โดยตรวจเยี่ยมและพบปะกลุ่มผู้เลี้ยงโคบ้านโนนสูง ต.โนนสูง อ.ยางลาด จ.กาฬสินธุ์ และกลุ่มผู้เลี้ยงโคบ้านหนองเม็ก ต.โคกสะอาด อ.ฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ เพื่อรับฟังปัญหาและมอบสิ่งของเวชภัณฑ์/ยาฆ่าแมลง และชมการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ตลอดจนให้กำลังใจกับเกษตรกร พร้อมด้วย นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ เกษตรกร เข้าร่วม



ทั้งนี้ นางสาวมนัญญา กล่าว โรคลัมปี สกิน ในโค กระบือ ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมการเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมป้องกันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฯ มีความห่วงใยต่อสถานการณ์อย่างมาก ได้กำชับให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ตนในฐานะกำกับดูแลกรมส่งเสริมสหกรณ์ซึ่งมีสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวนมาก จึงได้สั่งการให้เฝ้าระวังโรคในพื้นที่พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สำหรับ จ.กาฬสินธุ์ เกษตรกรส่วนใหญ่เลี้ยงโคเนื้อเพื่อเป็นสัตว์เศรษฐกิจ มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ จำนวน 88,771 ราย มีจำนวนโคเนื้อ 108,411 ตัว คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 2,700 ล้านบาท 


การแพร่ระบาดของโรคลัมปีสกิน ในโค กระบือ ของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวเข้ามาในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์จึงได้มีประกาศ เรื่อง กำหนดเขตโรคระบาดชนิดโรคลัมปีสกิน ในสัตว์ชนิดโค กระบือ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 โดยกำหนดใหม่ทุกพื้นที่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เป็นเขตโรคระบาด ห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ชนิดโค กระบือ หรือซากสัตว์ดังกล่าว เว้นแต่จะได้รับอนุญาต

สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดกาฬสินธุ์ รายงานสถานการณ์โรคลัมปี สกิน ว่า ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์- 29 พฤษภาคม 2564 พบโค กระบือ ของเกษตรกรป่วยในพื้นที่ 18 อำเภอ เกษตรกรได้รับผลกระทบ จำนวน 5,586 ราย โคกระบือป่วยสงสัยโรคลัมปีสกิน จำนวน 9,994 ตัว แบ่งเป็น โคเนื้อ 9,978 ตัว โคนม 6 ตัว กระบือ 10 ตัว ในส่วนของสหกรณ์การเกษตรยางลาด จำกัด อ.ยางตลาด มีสมาชิก 2,100 คน จำนวนโคที่เลี้ยง 6,837 ตัว โคป่วย 710 ตัว และสหกรณ์การเกษตรฆ้องชัย จำกัด อ.ฆ้องชัย มีสมาชิก 2,215 คน จำนวนโคที่เลี้ยง 2,020 ตัว โคป่วย 765 ตัว ทั้งนี้ ปศุสัตว์จังหวัดกาฬสินธุ์ได้แจ้งให้ปศุสัตว์อำเภอทุกอำเภอเข้มงวดการเฝ้าระวังและมาตรการป้องกันและควบคุมโรคกรณีสงสัยโรคลัมปี สกิน ให้เจ้าหน้าลงพื้นที่ทำการรักษาและช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยได้เน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ความช่วยเหลือในด้านการสนับสนุนเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการควบคุมกำจัดแมลงดูดเลือด การใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่นในพื้นที่เกิดโรค น้ำยาฆ่าเชื้อ และยารักษาโรคสัตว์ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคไม่ให้กระจายไปสู่พื้นที่ที่ยังไม่เกิดโรค


อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งหาแนวทางให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ และเชื่อมั่นว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ของโรคดังกล่าวได้ อีกทั้ง ในวันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเป็นประธานในพิธีส่งมอบวัคซีนลอตแรก จำนวน 60,000 โด๊ส เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี สกิน พร้อมด้วยนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ด่านกักกันสัตว์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมทั้งปล่อยขบวนรถขนส่งวัคซีนลัมปี สกิน และทีมสัตวแพทย์ออกปฏิบัติงานฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าว ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบต่อไป

“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำชับด่านกักสัตว์ตามแนวชายแดนทุกด่าน ให้เข้มงวดโดยเฉพาะการลักลอบเคลื่อนย้ายสัตว์ เพราะจะสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรในประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและกระทรวงเกษตรฯ ยืนยันไม่ทอดทิ้งเกษตรกร โดยมอบหมายให้หน่วยงานเร่งลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย และให้ความช่วยเหลือ โดยกรมปศุสัตว์ ร่วมกับ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) มอบยาฆ่าแมลงซึ่งเป็นพาหะของโรค ในส่วนของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้มอบหมายให้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ กำจัดและป้องกันแมลงในพื้นที่ ทำความสะอาดคอกและอุปกรณ์ในการเลี้ยง ทั้งนี้ โรคดังกล่าวไม่สามารถติดต่อสู่คนได้ เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดทางผิวหนัง เมื่อโค กระบือ หายแล้ว สามารถรับประทานได้” รมช.มนัญญา กล่าว

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และ อย. ผสานความร่วมมือนำเข้าวัคซีนโควิดทางเลือก “ซิโนฟาร์ม”

วันที่ 28 พฤษภาคม 2564: ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แถลงข่าวบูรณาการความร่วมมือนำเข้าวัคซีนโควิดทางเลือก “ซิโนฟาร์ม” โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และพลอากาศตรี นายแพทย์สันติ ศรีเสริมโภค รองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมแถลงข่าว ณ ห้อง CAT Auditorium อาคารสโมสร ชั้น 2 อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ

.

ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พ.ศ. 2559 และขึ้นตรงกับท่านนายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นความสำคัญในการบริหารจัดการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนแบบบูรณาการ เพื่อให้การควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยก่อนหน้านี้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นตัวแทนของรัฐบาลประเทศไทยในการจัดหาและนำเข้าวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงและได้รับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วที่สุดซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อประเทศชาติ



สำหรับความร่วมมือการนำเข้าวัคซีนโควิดทางเลือก “ซิโนฟาร์ม” ระหว่างราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือเพื่อให้การกระจายวัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างทั่วถึง โดย ณ ขณะนี้วัคซีน “ซิโนฟาร์ม” ซึ่งเป็นวัคซีนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้การรับรองแล้ว และนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้แจ้งว่า บริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด ได้ยื่นคำขอที่ 5 ที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หลังจากนี้ ทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะดำเนินการนำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์ม โดยภายในเดือนมิถุนายนนี้ จะนำเข้ามาได้จำนวน 1 ล้านโดส และจะบริหารจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์มให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่สนใจจะจัดซื้อในอัตราที่รวมราคาต้นทุนยา ค่าขนส่ง พร้อมค่าประกันวัคซีน โดยจะกำหนดราคาขายราคาเดียวกันทั่วประเทศต่อไป


วัคซีนซิโนฟาร์ม (Sinopharm) มีชื่อทางการว่า “BBIBP-CorV” เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated vaccine) เช่นเดียวกับ ซิโนแวค และ โควาซิน เป็นวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถฉีดได้ตั้งแต่กลุ่มผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจนถึงผู้สูงอายุโดยไม่มีข้อบ่งชี้ที่จำกัดเรื่องอายุ 'ซิโนฟาร์ม' ถูกนำมาใช้กว่า 65 ล้านโดส ในประเทศจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปากีสถาน ฮังการี และเป็นวัคซีนชนิดแรกที่พัฒนาโดยประเทศที่ไม่ใช่ชาติตะวันตก ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินจาก WHO เป็นรายที่ 6



ในส่วนของภารกิจการจัดหาวัคซีนทางเลือกในสถานการณ์การแพร่ระบาดฉุกเฉินนี้ อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายตามพระราชบัญญัติราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ไม่ได้มีการเพิ่มอำนาจจนเกินกว่ากฎหมายเดิมแต่อย่างใด และการผลิตนำเข้ารวมทั้งการให้อนุญาตเรื่องเวชภัณฑ์ทางการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉินนี้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขแก่ประชาชน ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือ ผู้ยากไร้ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และสถานการณ์ฉุกเฉินอื่น ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ตามพระปณิธานใน ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และเมื่อวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทยสามารถผลิตและใช้ได้อย่างเพียงพอ ทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ก็จะค่อยๆ ลดบทบาทในการจัดสรรปริมาณวัคซีนตัวเลือกนี้ลง เช่นเดียวกับ ยา และเวชภัณฑ์อื่นๆที่สามารถผลิตได้ในประเทศเช่นกัน


อนึ่ง สำหรับความร่วมมือระหว่างราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กับกระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการนำเข้าวัคซีนทางเลือก “ซิโนฟาร์ม” เป็นการทำงานคู่ขนานกันเพื่อช่วยเหลือให้การกระจายวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง สร้างมาตรฐานความปลอดภัย และเพิ่มขีดความสามารถที่จะช่วยเหลือให้ประชาชนทุกระดับได้กลับไปดำเนินชีวิตวิถีใหม่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน

สกสว. พร้อมเดินเครื่องบริหารจัดการกองทุน ววน. มุ่งย้ำการดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาล

รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล
ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) 

วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ศ.ดร.ปิยะวัติ บุญ-หลง พร้อมด้วย รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เข้าร่วมการประชุมเวทีการสื่อสารภายใน TSRI Share Meaning  เพื่อรับฟังการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ วางเป้าหมายร่วมกันในการสร้างคุณค่าองค์กรภายใต้แนวคิด “ธรรมาภิบาลของ สกสว. ในการบริหารจัดการกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.)” ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ 

 โดยมี รศ.ดร.อภิศักดิ์ ธีระวิสิษฐ์ ผอ.สำนักบริหารงบประมาณ ววน.  คุณสุจารี สอนง่าย รอง ผอ.สำนักกลยุทธ์แผนและงบประมาณ ด้านงบประมาณ ววน. และ ดร.เอก จินดาพล ผอ.กลุ่มภารกิจการพัฒนา ววน. ด้านความสามารถในการแข่งขัน ร่วมเป็นวิทยากรหลัก  โดยการเข้าร่วมประชุมกันในวันนี้ ถือเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยน วางเป้าหมายองค์กร สกสว. กับการเข้าสู่การเป็นองค์กรธรรมาภิบาล ท่ามกลางพลวัตของการเปลี่ยนแปลงของระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในประเทศ โดยข้อสรุปจากร่วมแลกเปลี่ยนกันในวันนี้ คือการที่ สกสว. ดำเนินงานตามพันธกิจสำคัญ โดยยึดถือเป้าหมาย มุ่งเน้นการปฏิบัติหน้าที่ตามหลักธรรมาภิบาลการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณจากกองทุนส่งเสริม ววน. ที่สอดคล้องกับ มาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2562 

ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ “การจัดสรรเงินกองทุนให้เป็นไปโดยอิสระภายใต้วัตถุประสงค์ของกองทุนตามมาตรา 54 เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนตามมาตรา 11 (1) และเป็นไปตามความต้องการของประเทศอย่างแท้จริง โดยไม่เลือกปฏิบัติด้วยการจัดสรรให้เฉพาะหน่วยงานในบังคับ บัญชาหรือในการกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีการดำเนินการตามวรรคหนึ่งต้องคำนึงถึงความคล่องตัว มีความโปร่งใส ไม่มีการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง” พร้อมกันนี้ บุคลากร สกสว. ยังได้ร่วมกันแสดงเจตจำนงค์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามหลักการที่ปรากฏในคู่มือธรรมาภิบาล สกสว.

สกสว.เดินเครื่องพัฒนากลไกผลักดันวิจัยใช้ประโยชน์ นำร่อง 4 พืชเศรษฐกิจ

วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดประชุมเสนอผลการศึกษาและข้อเสนอแนะการพัฒนาระบบและกลไกการผลักดันนํางานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตรไทย ภายใต้โครงการ “การพัฒนากลไกการผลักดันงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในภาคเกษตรไทย” เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนากลไกความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานและการนํางานวิจัยไปใช้ประโยชน์ เพื่อส่งต่องานวิจัยสู่การแก้ปัญหาภาคการเกษตร โดยมีผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้องค์ความรู้ด้านการเกษตรในประเทศไทย เข้าร่วมประชุมหารือในครั้งนี้

โอกาสนี้ รศ.ดร.ปัทมาวดี  โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า ปัจจุบัน สกสว. มีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณและขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) เพื่อการพัฒนาประเทศ จากการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่า ประเทศไทยมีผลงานวิจัยและนวัตกรรมด้านเกษตรเป็นจำนวนมากที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาภาคการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่มีการผลักดันการใช้ประโยชน์ผ่านนักวิจัย หน่วยงานให้ทุน สถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา และความร่วมมือของหน่วยงานในพื้นที่วิจัย 

ซึ่ง สกสว. มองว่าหากมีการขับเคลื่อนผลงานวิจัยผ่านหน่วยงานที่เป็นผู้กำกับนโยบาย และมีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาด้านการเกษตรโดยตรง จะทำให้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมสร้างผลลัพธ์และผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนผลงานวิจัยและนวัตกรรมผ่านหน่วยงานผู้กำกับนโยบาย จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ครอบคลุมทุกมิติ ตลอดจนสร้างช่องทางในการส่งต่อข้อมูลงานวิจัยสู่ผู้ใช้ประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพ โดยโครงการ “การพัฒนากลไกการผลักดันงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ในภาคเกษตรไทย” เป็นการนำร่องการศึกษากลไกเชิงระบบใน 4 พืชเศรษฐกิจประกอบด้วย มันสำปะหลัง ลำไย ทุเรียนและมังคุด ซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ โดยกลไกการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์นั้นจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนองค์ความรู้สู่การปฏิบัติ สอดคล้องกับนโยบาย BCG  Model (Bio-Circular-Green  Economy) เพื่อเพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

สำหรับการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อนำเสนอผลการศึกษาและข้อค้นพบเบื้องต้นของโครงการ รวมถึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดการพัฒนากลไกการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ด้านเกษตร ซึ่งข้อมูลที่ สกสว. ได้รับจากการประชุมในครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนระบบ ววน. ให้สามารถตอบโจทย์ภาคการเกษตรของไทยได้ทั้งระบบ และยังสามารถนำไปสู่การบูรณาการการทำงานจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน

ขอแสดงความยินดีกับ ดร.ชัยรัตน์ จำนงค์การประธานบริษัท SECURITY GUARD และ GUARD KPN ได้ผ่านการประเมิน IS045001:2018

ขอแสดงความยินดี กับ ดร.ชัยรัตน์ จำนงค์การ ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ/ที่ปรึกษา ผบช.ภ.1/ประธาน กต.ตร.จว.นนทบุรี ประธานบริษัท SECURITY GUARD บริษัท รักษาความปลอดภัย ที.เอส.จี.อินเตอร์การ์ด จำกัด และ GUARD KPN บริษัท รักษาความปลอดภัย เคพีเอ็น แอนด์เซอร์วิส จำกัด ได้ผ่านการประเมิน IS045001:2018 ตรวจรับรองระบบมาตรฐาน

จาก คณะกรรมการของ UICC ให้สิทธิแก่: T.S.G. INTERGUARD SECURITY GUARD CO., LTD หมายเลขทะเบียน: UT211109RO ระบบจัดการความปลอดภัยสุขภาพเข้ากับมาตรฐาน ISO45001:2018 และ KPN GUARD AND SERVICE CO., LTD หมายเลขทะเบียน: UT211110RO ระบบจัดการความปลอดภัยสุขภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO45001:2018 ในด้าน “บริษัทรับรองความปลอดภัยและผู้ดูแลบ้าน” ออกให้ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2021 ถึง วันที่ 27 พฤษภาคม 2024 



#สมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย (สภท.56ปี) 

#T.Newsman007Online

วช. เสริมนักวิจัยจุฬาฯ คว้ารางวัลจากจีน พัฒนาสมุนไพรนาโนสูตรเย็นบรรเทาอาการปวดเมื่อย

 จากปัญหาการนั่งทำงาน หรือการใช้คอมพิวเตอร์รวมถึงโทรศัพท์มือถือ เป็นระยะเวลานานมักจะทำให้เกิดภาวะปวดเมื่อยหรือภาวะตึงของกล้ามเนื้อตามมา ทีมนักวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้คิดค้นนวัตกรรมสเปรย์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรไทย ในรูปแบบสเปรย์นาโนสูตรเย็น เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย คลายความเครียด และความกังวลจากอาการปวดเมื่อยที่เกิดจากการทำงาน  และจากภาวะออฟฟิศซินโดรม

 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกึรรม (อว.) นำนักวิจัย และนักประดิษฐ์ จากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมการประกวดนวัตกรรม “The 5th China (Shanghai) International Invention & Innovation Expo” ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในรูปแบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 15 - 17 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งนวัตกรรม “สเปรย์สมุนไพรนาโนสูตรเย็นบรรเทาอาการปวดเมื่อย” ของนางสาววราภรณ์  โชติสวัสดิ์, และคณะ แห่งหน่วยชีวเคมี ภาควิชาสรีรวิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เข้าร่วมประกวดจนสามารถคว้ารางวัลเหรียญทองแดง มาครอง

นางสาววราภรณ์  โชติสวัสดิ์ หัวหน้าทีมนักวิจัย เปิดเผยว่า กระบวนการวิจัยเริ่มจากการนำผักคราดหัวแหวน และน้ำมันหอมระเหยระกำมาทำเพราะเป็นพืชสมุนไพรที่หาได้ง่ายบวกกับมีสรรพคุณลดการปวดตึง หรืออักเสบของกล้ามเนื้อ ส่วนน้ำมันหอมระเหยระกำมีสรรพคุณช่วยระงับอาการปวดชนิดใช้เฉพาะที่สำหรับบรรเทาอาการปวดที่ไม่รุนแรง เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อจากภาวะตึง  ซึ่งจะทำให้รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัสถูกผิวหนังในระยะแรก จากนั้นจะค่อย ๆ อุ่นขึ้น ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้  สมุนไพรอีกชนิดหนึ่งคือ ผักคราดหัวแหวนมีสารสกัดที่สำคัญ คือ สารสปิแลนทอล มีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ และยังมีฤทธิ์โดดเด่นที่ช่วยลดการอักเสบและลดการปวดกล้ามเนื้อได้ดี  ทีมนักวิจัยได้นำสมุนไพรทั้งสองมาต่อยอดเป็นภูมิปัญญาไทย โดยนำสมุนไพรไทยทั้งสองชนิดนี้มาเป็นส่วนผสมและเตรียมในรูปแบบสเปรย์นาโนสูตรเย็น 

 นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีนี้ช่วยออกฤทธิ์ได้ยาวนานขึ้น บรรเทาภาวะปวดเมื่อยหรือตึงของกล้ามเนื้อได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  สำหรับนวัตกรรมระบบนําส่งด้วยนาโนเทคโนโลยี หรือ ตัวพาอนุภาคนาโน เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย ว่าเป็นกุญแจสําคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์สําคัญต่าง ๆ การนำส่งสารสำคัญผ่านทางผิวหนัง อนุภาคนาโนไขมัน มีข้อดีในการนำส่งตัวยาหรือสารสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบอื่น ๆ ช่วยเพิ่มการแทรกผ่านผิวหนัง ทำให้การซึมผ่านของตัวยาหรือสารสำคัญที่ปล่อยออกจากอนุภาคเพิ่มสูงขึ้น และจากสรรพคุณในการบรรเทาอาการปวดและการอักเสบของน้ำมันหอมระเหยระกำ และสารสปิแลนทอลจากผักคราดหัวแหวน การใช้สารสำคัญทั้งสองชนิดร่วมกันย่อมส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการรักษาหรือบรรเทาอาการปวดและการอักเสบได้ดี จึงได้ประดิษฐ์อนุภาคนาโนอินทรีย์กักเก็บน้ำมันหอมระเหยระกำ และสารสปิแลนทอลจากผักคราดหัวแหวน ด้วยเทคโนโลยีการกักเก็บระดับนาโน  ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง เพิ่มประสิทธิภาพการซึมผ่านผิวหนัง โดยไม่ทิ้งคราบมันบนผิว และไม่เหนียวเหนอะหนะ รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทย ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่หาได้ง่ายในประเทศ

การพัฒนาต่อยอด ขณะนี้ผลิตภัณฑ์ได้อยู่ในขั้นตอนการยื่นขอเลข อย. เพื่อให้สามารถเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้จริงตามกฎหมายอาหารและยาของประเทศไทย  และในอนาคตทางทีมนักวิจัยหวังว่านวัตกรรมจะช่วยเพิ่มขีดจำกัดในการพัฒนาประเทศ รวมถึงส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยที่หาได้ง่ายในประเทศเพื่อให้เกษตรกรได้มีรายได้จากการปลูกพืชสมุนไพร อีกด้วย

ด้าน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัย กล่าวว่า  วช. ได้ส่งเสริมและสนับสนุนนักวิจัยและนักประดิษฐ์ไทยในการนำผลงานที่มีคุณภาพและมีศักยภาพด้านการวิจัยและด้านการประดิษฐ์คิดค้น เข้าร่วมการประกวดผลงานในเวทีระดับนานาชาติเสมอมา ทำให้ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมของคนไทยที่ไปเผยแพร่ เป็นที่รู้จักสามารถนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดผลงาน และเปิดโอกาสให้มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นช่องทางให้นักวิจัยและนักประดิษฐ์ไทยเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ อันจะนำไปสู่ผลงานที่ได้มาตรฐานเกิดการยอมรับจากผู้ใช้งาน และเป็นที่ต้องการทางการตลาดและก้าวสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

FoodStory ผู้พัฒนาระบบ POS ร้านอาหาร ประกาศรับเงินลงทุนในรอบ Series B เพื่อยกระดับและต่อยอด Restaurant Ecosystem

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2021: FoodStory สตาร์ทอัพผู้นำด้านการพัฒนาระบบ POS สำหรับร้านอาหาร ประกาศรับเงินลงทุนในรอบ Series B จากบริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Beacon VC) บริษัทเงินร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)  เพื่อยกระดับ Restaurant Ecosystem ให้มีความครอบคลุมและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมการบริหารจัดการร้านอาหารโดยการเปลี่ยน Data เป็น Insight เพื่อให้เจ้าของธุรกิจร้านอาหารและผู้ใช้งานมีความเข้าใจการดำเนินงานของธุรกิจทั้งในเรื่องการจัดการภายในและการขายเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว 

FoodStory คือระบบการจัดการร้านอาหารที่ครบวงจรสำหรับร้านอาหารหลากหลายรูปแบบ อาทิ ร้านอาหารทั่วไป ร้านบุฟเฟต์ ร้านกาแฟและฟู้ดทรัค เป็นต้น   โดยสามารถเริ่มต้นด้วย iPad เพียงเครื่องเดียว ซึ่งครอบคลุมทั้งการจัดการหน้าร้านเพื่อรองรับลูกค้า Dine-in และลูกค้าที่สั่งอาหารมาทางบริการเดลิเวอรี่ ยังมีการจัดการหลังร้านที่รองรับการเชื่อมต่อกับระบบบัญชีและการสั่งซื้อสินค้าวัตถุดิบในรูปแบบออนไลน์ผ่าน FoodStory Market ได้ในที่เดียว โดยร้านอาหารสามารถเลือกแพ็คเกจรายเดือนตามความต้องการของร้านได้ (Subscription Model) และสามารถสั่งซื้ออุปกรณ์สำหรับการขายหน้าร้านได้อย่างครบวงจร   

ในปัจจุบันร้านอาหารมีการปรับตัวและนำโทคโนโลยีไปใช้ได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก โดย FoodStory ยังคงมุ่งเน้นที่จะพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือเป็น Core Value หลักของ FoodStory นอกจากนี้ทาง FoodStory ได้มีการปรับ FoodStory Vision จาก “Revolutionize Restaurant Industry” เป็น “Leverage Data To Connect Farm to Folk” เพื่อต่อยอดจากระบบการจัดการร้านอาหาร (POS) ที่เป็น Data Collector เพื่อนำข้อมูลเปลี่ยนมาเป็น Insight ที่จะช่วยแนะนำธุรกิจร้านอาหารให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป 

นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (Beacon VC) เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย (KBank) มุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเงินเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าและผู้ประกอบการธุรกิจทุกประเภท ทั้งนี้  Beacon VC ได้เข้าลงทุนและร่วมมือกับทาง FoodStory โดยมุ่งหวังเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารรายย่อยในการให้เข้าถึงการบริการทางด้านการเงินอย่างครบวงจรและใช้ประโยชน์จาก data เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น โดยในปี 2564 นี้ ธุรกิจร้านอาหารยังคงมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เเต่ Beacon VC เชื่อว่า FoodStory จะเป็นช่องทางสำคัญที่จะสามารถช่วยผู้ประกอบการร้านอาหารได้ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนจากการขายหน้าร้านมาเป็นการขายแบบเดลิเวอรี่ ระบบจัดการดังกล่าวนอกจากจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารร้านได้ง่ายมากขึ้นแล้ว ยังสามารถเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่และสามารถเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย  

นายธเนศ พิริย์โยธินกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการค้า พัฒนาธุรกิจ และการลงทุน บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD  กล่าวว่า JWD Group เล็งเห็นความสำคัญของธุรกิจอาหาร และ เชื่อว่าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะการเติบโตผ่าน eCommerce channel ซึ่งเป็นช่องทางที่มีศักยภาพในการเติบโตที่สูง การลงทุนใน Food Story เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ e-Commerce ที่สำคัญในการขยายการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ด้านอาหารผ่าน Application Platform เพื่อที่จะทำให้เราสามารถที่จะขยายบริการโลจิสติกส์ทางด้านอาหารให้คลอบคลุมทั้งตลาด B2B B2C และ C2C ในอนาคต โดยผ่านการขยายบริการทางด้านการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบเร่งด่วน (Cold Chain Express Delivery) พร้อมกับการขยายเน็ตเวิร์คการกระจายสินค้าควบคุมอุณหภูมิผ่านการขยายคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าควบคุมอุณหภูมิของบริษัทในอนาคตตามแผนธุรกิจที่วางไว้ FoodStory เป็นแพล็ตฟอร์มการบริหารจัดการร้านอาหารที่มีประสิทธิภาพและมีศักยภาพในการที่จะพัฒนาและขยายอย่างต่อเนื่องในอนาคต ด้วยโมเดลธุรกิจ เทคโนโลยี และทีมงาน ที่มีวิสัยทัศน์เข้าใจและเล็งเห็นความต้องการของผู้ประกอบการร้านอาหารแบบครบวงจร 

นายฐากูร ชาติสุทธิผล ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีฟวิ่ง โมบาย จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อ 2 ปีก่อน เราได้เติมเต็ม Restaurant Ecosystem ผ่านการเชื่อมต่อกับ LINE MAN และ Wongnai เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ของร้านอาหาร และใน 1 ปีที่ผ่านมาเราได้เปิดตัว FoodStory Market เพื่อทำให้การจัดการสั่งซื้อวัตถุเป็นเรื่องง่าย ผ่าน Concept “A Place Where Suppliers Meet Kitchens” เพื่อแก้ไข Pain Point ของราคาที่ผันผวน สั่งซื้อยาก ต้องไปจ่ายตลาดเอง และกันการโกงจากพนักงานจัดซื้อ พร้อมทั้งยังเชื่อมต่ออัตโนมัติด้วย POS Inventory Management เต็มรูปแบบ พร้อมด้วยการชำระเงินออนไลน์ และการส่งใบกำกับภาษีแบบ Electronic ผ่าน E-TAX Invoice โดยการที่มี Restaurant Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบเพื่อเชื่อมต่อตั้งแต่ Farm to Folk นั้น เราต้องการพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งทางด้านการเงิน (Financial Services) จาก KBank และระบบขนส่งรถเย็น (Cold Chain Logistics) จาก JWD ที่สามารถเติมเต็มในส่วนที่เราขาดเพื่อการพัฒนาต่อยอดธุรกิจ Supply Chain รูปแบบใหม่

เกี่ยวกับ Food Story 

บริษัท Livingmobile Co., Ltd. หรือที่รู้จักกันในนาม FoodStory สตาร์ทอัพสัญชาติไทย ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน “ระบบจัดการร้านอาหาร” ดำเนินธุรกิจทางด้านระบบจัดการ POS ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 25,000 ราย และธุรกิจอี คอมเมิร์ซ ตลาดสดออนไลน์ FoodStory Market FoodStory เริ่มก่อตั้งบริษัทในปี 2012 ได้รับรางวัลชนะเลิศรายการ True Incube Asia Pacific Mobile App Challenge ในปี 2014 และ ชนะเลิศรายการ SMEs ตีแตก ในปี 2016 ทั้งนี้ยังได้รับการจัดอันดับสูงสุดของธุรกิจระบบจัดการร้านอาหารจากการเติบโตเรื่อยมา ก่อนหน้านี้ทางบริษัทได้มีโอกาสร่วมระดมทุนกับทาง Wongnai ในปี 2018 และได้มีการร่วมทุนอีกครั้งกับ Beacon VC และ  JWD สู่ Series B เต็มตัวในปี 2021

เกี่ยวกับบีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (Beacon Venture Capital หรือ Beacon VC)

บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (Beacon VC) จัดตั้งขึ้นในปี 2560 โดยทำหน้าที่เป็นกองทุนร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย Beacon VC มีนโนบายในการเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อต่อยอดการดำเนินงานเชิงเทคโนโลยีของธนาคาร โดยมุ่งเน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นมาใหม่ (Early Stage) จนถึงบริษัทที่อยู่ในช่วงขยายธุรกิจ (Growth Stage) โดยไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจที่พัฒนาเทคโนโลยีด้านการเงิน (Fintech) เท่านั้น แต่รวมถึงเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภค (Consumer Technology) และเทคโนโลยีสำหรับธุรกิจ (Enterprise Technology) ทั้งนี้ กองทุน Beacon VC ได้มีการเพิ่มเงินลงทุนเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมที่หลากหลายขึ้น โดยมีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 185 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และได้ลงทุนในหลายบริษัททั้งในและต่างประเทศ เช่น FlowAccount, Jitta, Builk, Grab, Nium และ Aspire เป็นต้น 

เกี่ยวกับเจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจร ครอบคลุม 8 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน มีพื้นที่ให้บริการวมทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 2 ล้านตารางเมตร  โดยธุรกิจหลักคือกลุ่มโลจิสติกส์ ซึ่งบริษัทฯมีความเชี่ยวชาญกลุ่มสินค้าที่ต้องการความชำนาญเป็นพิเศษในการบริหารจัดการด้านคลังสินค้าและขนส่ง ได้แก่ สินค้าอันตราย สินค้าควบคุมอุณหภูมิ รถยนต์และส่วนประกอบ และสินค้าอื่นๆทั่วไป ธุรกิจกลุ่มอื่นๆ ของบริษัทได้แก่ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจไอทีโซลูชั่น และ ธุรกิจการลงทุน 

“THAICID” ร่วมกับ กรมชลประทาน เปิดเวที งานสัปดาห์เครือข่าย THAICID-NWIKS 2024

นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัปดาห์เครือข่าย THAICID เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างบูรณาการ ประจำปี 25...